ประเทศไอซ์แลนด์ บทความจากนักเดินทาง |
ประวัติศาสตร์ ดินแดนและผู้คน |
|
|
Ingolfur Arnarson นำชาวนอร์สกลุ่มแรกมาตั้งถิ่นฐานที่ชายฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ของไอซ์แลนด์เมื่อปี ค.ศ. 874 กลุ่มชาวนอร์สเหล่านี้หนีมาจากการปกครองของกษัตริย์ทรราชย์ Harald Haarfagri แห่งนอร์เวย์ ซึ่งขับไล่พวกเขาออกจากแผ่นดินของบรรพบุรุษในนอร์เวย์ตอนใต้ เมื่อมาถึงไอซ์แลนด์ Ingolfur Arnarson โยนเสาเสี่ยงทายลงทะเลเพื่อบูชาเทพยดา (ธอร์) และให้เสานั้นลอยไปสู่ฝั่งยังจุดที่เทพยดาต้องการให้ตั้งหลักแหล่ง ซึ่งก็คือที่ที่เขาตั้งชื่อว่า "เรคยาวิค" (อ่าวแห่งควัน) เนื่องจากควันไอน้ำที่พวยพุ่งขึ้นมาจากบ่อน้ำร้อนนั่นเอง | |
พวกไวกิ้งเป็นกลุ่มคนที่ตั้งตัวขึ้นมาในสแกนดิเนเวียช่วงคริสตศตวรรษที่ 8 - 11 ตำนานไวกิ้งก็คือตำนานนอร์สที่มีเทพต่างๆ เป็นผู้ปกครอง เช่น เทพทรงพลังโอดิน เทพธิดาฟรียาที่งดงาม เทพสายฟ้าธอร์ และโลคิ ซึ่งอาศัยในแอสการ์ด ดินแดนเทพที่มนุษย์มองไม่เห็น จนเมื่อไม่กี่สิบปีนี้ ได้มีการสันนิษฐานว่า ตำนานไวกิ้งก็เป็นเพียงตำนานเท่านั้น อย่างไรก็ดี มีหลักฐานแสดงว่าบางส่วนของตำนานก็มีรากฐานมาจากความจริงอยู่ เรื่องราวผจญภัยของอีริคแดง (Eirik the Red) เล่าถึงนักรบผู้กล้าที่ล่องเรือจากสแกนดิเนเวียไปทางตะวันตกจนค้นพบดินแดนใหม่ที่เขาเรียกว่า "กรีนแลนด์" และได้ตั้งอาณาจักรไวกิ้งขึ้นที่นี่ในปี ค.ศ. 985 ถึงอาณาจักรนี้จะไม่รุ่งเรืองนักแต่ก็เป็นจุดเริ่มของการผจญภัยครั้งยิ่งใหญ่ของ Leifur Eiriksson โอรสของอีริคผู้ล่องเรือข้ามมหาสมุทรแอตแลนติคไปตั้งอาณาจักร วินแลนด์ ที่ชายฝั่งตะวันออกของอเมริกาเหนือ ก่อนโคลัมบัสจะเหยียบย่างสู่โลกใหม่ถึง 500 ปี ปัจจุบันจะพบผู้ที่อาศัยในอาณาจักรนี้ได้ในฝั่งตะวันออกของนิวฟาวน์ดแลนด์ | |
กลุ่มผู้บุกเบิกของไอซ์แลนด์ได้นำเอาภาษาไวกิ้งโบราณ "ละตินแห่งเมืองเหนือ" มาใช้ด้วย ภาษานี้ใช้พูดกันในสแกนดิเนเวียและอื่นๆ ที่ไกลออกไป ภาษาไอซ์แลนด์เดิมนี้ยังคงใช้กันอยู่เนื่องจากการเป็นดินแดนที่แยกตัวโดดเดี่ยวอยู่หลายร้อยปี, ผู้คนอ่านออกเขียนได้แพร่หลายมาตั้งแต่สมัยยุคกลาง และความรักในตำนานเก่าๆ ที่ชาวไอซ์แลนด์ยังคงอ่านฉบับโบราณออกได้แม้ในยุคปัจจุบัน
ชาวไอซ์แลนด์ตั้งสหพันธรัฐขึ้นในปี ค.ศ. 930 รัฐสภา อัลธิง เป็นรัฐสภาที่เก่าแก่ที่สุดในโลกที่ยังคงมีอยู่ สหพันธรัฐสิ้นสุดลงในปี 1262 เมื่อเสียเอกราชให้แก่นอร์เวย์ กระแสชาตินิยมในช่วงศตวรรษที่ 19 ทำให้เกิดมีรัฐธรรมนูญขึ้นในปี 1874 ในปี 1904 ก็ได้สิทธิปกครองตัวเองและต่อมาในปี 1918 ก็เป็นอิสระแต่ยังอยู่ใต้พระราชวงศ์เดนมาร์ก ขั้นตอนสุดท้ายสู่เอกราชเต็มตัวคือ การมีผู้นำของตนเอง ซึ่งก็ได้แก่การเป็นสาธารณรัฐใหม่ในปี 1944
ไอซ์แลนด์เป็นประเทศที่ประชากรเบาบางที่สุดในยุโรปเพียง 7 คนต่อตารางไมล์โดยเฉลี่ย พื้นที่ 4 ใน 5 ของประเทศไม่มีคนอยู่อาศัย ส่วนมากจะกระจุกตัวอยู่รอบชายฝั่งเป็นแนวแคบๆ ในหุบเขา และที่ราบต่ำทางตอนใต้และตะวันตกเฉียงใต้เท่านั้น |
|
ธงที่ใช้ปัจจุบันมีมาตั้งแต่ปี 1918 เป็นการแสดงถึงกระบวนการสู่เอกราชและลักษณะเชื้อชาติต่างๆ ของนอร์ดิค บนพื้นสีน้ำเงินอันเป็นสัญลักษณ์ของทะเลและท้องฟ้าหน้าร้อน | |
คนที่จะอาศัยในไอซ์แลนด์ได้จะต้องมีความพิเศษและยอมรับความแตกต่างสุดขั้วของน้ำแข็งกับไฟ บ่อน้ำร้อนกับธารน้ำแข็ง และอากาศที่ปรวนแปรได้ชั่วพริบตา ชาวไอซ์แลนด์เป็นคนชาตินิยมมากและภูมิใจกับท้องถิ่นของตนที่สุด แต่กระนั้นก็ชอบไปเที่ยวต่างแดนในวันหยุดบ่อยๆ พวกเขาใช้ชีวิตแบบสมัยใหม่และชื่นชอบอิเลคโทรนิคแต่ก็ยังภาคภูมิใจกับเชื้อสายไวกิ้งของตน การสู้รบเพื่อความอยู่รอดนานนับศตวรรษทำให้ชาวไอซ์แลนด์ชอบทำงานนานๆ แต่ก็ยังมีสุขภาพดีและอายุยืนยาวที่สุดชาติหนึ่งในโลก อาจเป็นเพราะอากาศดีและปลอดมลภาวะ อีกทั้งอาหารส่วนมากเป็นอาหารทะเลที่อุดมโปรตีนแต่โคเลสเตอรอลต่ำ |
ไอซ์แลนด์เต็มไปด้วยบ่อน้ำร้อนและกิจกรรมร้อนๆ มากกว่าประเทศใดๆ ได้แก่ ห้องอบไอน้ำ บ่อโคลน และก๊าซ บ่อน้ำร้อนมีอยู่ทั่วไปแต่จะหายากในแถบดินบะซอลท์ทางตะวันออก มีเขตไอร้อนใต้ดินกว่า 250 แห่งซึ่งมีบ่อน้ำร้อนอยู่รวมถึง 800 แห่ง บางแห่งเป็นน้ำพุร้อนหรือกีเซอร์ น้ำพุร้อนที่มีชื่อที่สุดคือน้ำพุร้อน Geysir ใน Haukadalur ทางใต้ของประเทศ ซึ่งเป็นที่มาของคำว่ากีเซอร์ geyser ที่ใช้กันทั่วโลก น้ำพุร้อนที่นี่พวยพุ่งขึ้นสูงกว่า 180 ฟุต แต่ปัจจุบันนี้ไม่ค่อยมีกิจกรรมอะไรนัก |
|
ภูมิประเทศเฉพาะตัวของไอซ์แลนด์อีกอย่างหนึ่งคือธารน้ำแข็ง ที่ปกคลุมพื้นที่กว่า 4,500 ตารางไมล์ (11,800 ตารางกิโลเมตร) หรือ 11.5% ของพื้นที่ทั้งหมด ธารน้ำแข็งที่ใหญ่ที่สุดคือ Vatna ทางตะวันออกเฉียงใต้ มีพื้นที่ถึง 3,240 ตารางไมล์ (8,400 ตารางกิโลเมตร) หนาถึง 3,000 ฟุต (1 กิโลเมตร) ส่วนที่มีชื่อเสียงที่สุดคือ Snaefellsjokull ที่ทอดตระหง่านทางตะวันตก ในวันอากาศแจ่มใสสามารถมองเห็นประกายน้ำแข็งสะท้อนแดดไปได้ไกลถึงเรคยาวิคแม้ห่างไปกว่า 100 กม. ที่นี่เป็นที่เลื่องลือมานานถึงความลึกลับจน จูลส์ เวิร์น เลือกให้เป็นฉากของนิยายอมตะของเขา "Journey to the Center of the Earth" |
ไอซ์แลนด์เรียกได้ว่ามีอากาศดีบริสุทธิ์สดชื่นที่สุดในโลก การสูดลมหายใจลึกๆ ทำให้เกิดแรงบันดาลใจ ช่วยให้สมองปลอดโปร่งและความคิดโลดแล่นได้มาก น้ำประปาดื่มได้และให้ความสดชื่นเพราะมาจากแหล่งน้ำธรรมชาติที่กลั่นกรองด้วยชั้นหินลาวาใต้ดิน |
อุณหภูมิที่นี่อบอุ่นกว่าที่คิดแม้จะตั้งอยู่ที่เส้นละติจูดที่ 64 เหนือ ทั้งนี้เพราะกระแสน้ำอุ่นที่หล่อเลี้ยงแถบนี้ให้อบอุ่นเสมอ หน้าร้อนจะอากาศเย็น (ประมาณ 10 องศาเซลเซียส) และหน้าหนาวจะไม่รุนแรงมาก แต่ค่อนข้างจะแปรปรวน ดังนั้นนักท่องเที่ยวจึงควรเตรียมพบกับสภาพอากาศที่ไม่คาดคิดด้วย ช่วงหน้าร้อนเวลากลางคืนยังสว่าง ที่เรคยาวิคในวันที่ 21 มิถุนายน พระอาทิตย์ขึ้นเวลา 02.54 น. และตกเวลา 24.04 น. ในทางกลับกัน เดือนธันวาคมจะฟ้าสลัว ไอซ์แลนด์ตั้งอยู่ที่เขตเวลามาตรฐาน (GMT) ตลอดปี กระแสไฟฟ้าที่ใช้ 220 โวลต์ 50 HZ AC |
|
|
|
ที่พักและอาหารดีๆ มีบริการมากมาย ตั้งแต่อาหารจานด่วนและเกสต์เฮ้าส์ จนถึงร้านอาหารชั้นหนึ่งและโรงแรมหรู ค่าใช้จ่ายรวมภาษีบริการและภาษีมูลค่าเพิ่มแล้วเสมอ มีผับและคาเฟ่หลายแห่ง การออกไปเที่ยวนอกเมืองก็เป็นกิจกรรมที่สนุกอีกอย่างหนึ่ง โปรดจำไว้ว่า บาร์จะแน่นไปด้วยผู้คนในคืนสุดสัปดาห์ แหล่งท่องเที่ยวราตรีในเมืองหลวงจะคึกคักช่วงก่อนเที่ยงคืน ราตรีของเรคยาวิคเริ่มมีชีวิตชีวาตั้งแต่ปี 1989 เมื่อเบียร์กลายเป็นสิ่งถูกกฎหมาย บทสนทนาในผับยังคงดำเนินไปแบบบรรยากาศเก่าๆ ที่คุ้นเคย | |
ช้อปปิ้งในไอซ์แลนด์ได้รับการยกระดับใหม่เมื่อศูนย์การค้า Smaralind เปิดขึ้นใน Kopavogur ชานเมืองเรคยาวิค ที่นี่เป็นศูนย์การค้าที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ พื้นที่กว่า 63,000 ตารางเมตรเป็นแหล่งรวมสินค้าคุณภาพดีในระดับสากล เช่น Debenhams, Zara, Top Shop, Benetoon และ Miss Selfridge |
|
|
|
เรคยาวิคมีฉายาว่า "เมืองสปา" ใจกลางเมืองมีบ่อน้ำร้อน 7 แห่ง Blue Lagoon อยู่ห่างออกไปไม่ไกล ชาวไอซ์แลนด์จำนวนมากหันมาหาสมุนไพรแทนยาสมัยใหม่ในการรักษาโรคต่างๆ เช่น ผมร่วง ไมเกรน ปวดประจำเดือน และแม้แต่ขาดสารบำรุง ไอซ์แลนด์อุดมไปด้วยสมุนไพรหลายชนิด แต่ละชนิดก็มีสรรพคุณต่างกันไป ปรุงแต่งส่วนผสมให้มีรสชาติและกลิ่นเฉพาะ และนำมาผสมผสานเป็นตัวยาใหม่ๆ ได้ไม่รู้จบ | |
สาธารณรัฐไอซ์แลนด์มีสภาพเป็นเกาะ อยู่ขึ้นไปทางเหนือของประเทศเดนมาร์กใกล้กับเกาะกรีนแลนด์ เป็นเกาะที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองของทวีปยุโรปรองจากเกาะอังกฤษ พื้นที่ทั้งหมดมีอยู่ประมาณ 103‚000 ตารางกิโเมตร ( 39‚750 ตารางไมล์ ) แต่ประชากรทั้งประเทศมีเพียง 28‚000 คนเท่านั้น ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในเมืองหลวงชื่อ เรย์จาวิค ( Reykjavik ) ชาวพื้นเมือง ใช้ภาษาไอซ์แลนด์ดิก ( Icelanddic ) เป็นภาษาประจำชาติกับภาษาไวกิ้งโบราณ ส่วนภาษาอังกฤษนั้นชาวไอซ์แลนด์ส่วนใหญ่สามารถใช้สื่อสารได้ ด้วยสภาพภูมิประเทศที่เป็นเกาะอันเกิดจากการระเบิดของภูเขาไฟใต้ทะเลทำให้เกิดเกาะใหญ่ขึ้น 1 เกาะ และรายล้อมด้วยเกาะเล็กเกาะน้อย บางครั้งเกาะไอซ์แลนด์ก็ถูกขนานนามว่า " ดินแดนแห่งน้ำแข็งของไฟ " และเนื่องจากตั้งอยู่บนเส้นอาร์กติกอันหนาวเย็น วัฒนธรรมความเป็นอยู่ของชาวไอซ์แลนด์ข้อนข้างมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ชาวไวกิ้งโบราณเป็นชนกลุ่มแรกที่เข้ามาตั้งรกรากบนเกาะไอซ์แลนด์ระหว่างศตวรรษที่ 8 ชุมชนเล็กๆนี้ได้ค่อยๆ ขยายกลายเป็นรากเหง้าสำคัญของการปกครองของโลกปัจจุบัน เพราะมีการริเริ่มใช้สภาที่เรียกว่าสภา Atthing เมื่อปี 930 ซึ่งนับเป็นที่ประชุมสภาที่เก่าแก่ที่สุดในโลก |
|
|
แต่ในปี 1262 เกาะไอแลนด์ได้ถูกปกครองโดยนอร์เวย์ และมาเป็นของเดนมาร์กในปี 1380 แม้ในปี 1918 จะสามารถปกครองตนเองได้แล้ว แต่ก็ยังต้องอยู่ภายใต้อำนาจของกษัตริย์เดนมาร์ก จนกระทั่ง 7 มิถุนายน ปี 1944 จึงได้เป็นอิสระโดยสมบูรณ์ ปกครองประเทศโดยระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภามาจนถึงทุกวันนี้
ที่ว่าเหนือชั้นกว่าบรรดาธรรมซาติอีกหลายๆ แห่ง เพราะว่าเปลือกโลกของเกาะไอซ์แลนด์ถือเป็นเปลือกโลกรุ่นใหม่ล่าสุด วิวัฒนาการของโลกทำให้ธรรมซาติของไอซ์แลนด์มีการมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เป็นที่มาของภาพทิวทัศน์แปลกตาแต่ทว่างดงามเหลือเชื่อ และเนื่องจากยังอยู่ในแนวภูเขาไฟใต้ทะเลแอตแลนติกเหนือ ทำให้ยังมีการเกิดระเบิดของภูเขาไฟโดยเฉลี่ย 5 ปีต่อครั้ง เถ้าถ่านของลาวาปกคลุมพื้นที่ถึง 1 ใน 5 ของประเทศ โดยเห็นได้ว่าตามแนวชายฝั่งมีหาดทรายดำกว้างสุดลูกหูลูกตา บนภูเขาสูง ธารน้ำแข็งขนาดใหญ่มากอายุเป็นล้านๆ ปี่ ค่อยๆ ไหลลงสู่พื้นราบ สามารถขึ้นไปนั่งรถเลื่อนให้สุนัขลาก เป็นประสบการณ์อันน่าตื่นเต้น |
|
|
ความงดงามของฟยอร์ค ( fjord ) ที่เกิดจากแนวภูเขาไฟกว่า 220 ลูกไล่กันไปเป็นลูกระนาดได้รับการกล่าวขวัญอย่างมากมาย หน้าผาสูงที่สลับซับซ้อนราวกับภาพสามมิติปรากฎตัวอยู่ในความสลัวที่เกิดจากหมอกและฟองคลื่น ชวนให้พิศวงไปพร้อมๆ กับเรื่องเล่าของชาวทะเลมากมาย โดยเฉพาะโศกนาฎกรรมของปลาวาฬเพชฌฆาต ซื่อก้องโลกตัว Keiko ( ในภาษาญี่ปุ่นแปลว่า " โชคดี " แต่ในชีวิตจริงมิได้เป็นเช่นนั้น ) นักแสดงตัวเอกในหนังดังเรื่อง Free Willy นั่นเอง อ่าว Klettsvik เป็นบ้านเกิดของ Keiko อยู่ทางตอนใต้ของเกาะไอซ์แลนด์ Keiko ถูกจับได้จากอ่าวนี้ ตั้งแต่อายุได้แค่ 2 ขวบ แล้วถูกขายต่อให้กับสวนสัตว์น้ำที่ออนตาริโอในประเทศแคนาดา ก่อนจะส่งให้กับ Reino Adventure ซึ่งเป็นสวนสนุกของเม็กซิโก ซิตี้ สถานที่แห่งนี้ได้ฝึก Keiko ให้เล่นละครสัตว์และให้ออกแสดงโชว์ถึงวันละ 5 รอบมาร่วม 10 ปี |
|
จนกระทั่งในปี 1996 ได้เริ่มมีโครงการปล่อยตัว Willy หรือ Keiko โดยมูลนิธิ Free Will - Keiko Foundation ณ บริเวณแนวชายฝั่งของเกาะไอซ์แลนด์บ้านเกิดของมัน ในปี 1999 และเพราะในความโด่งดังนี้เองได้ส่งผลให้ธุรกิจการออกเรือชมปลาวาฬในน่านน้ำ ของเกาะไอซ์แลนด์เจริญรุ่งเรืองเป็นอย่างมาก รับประกันว่าถ้าออกเรือแล้วไม่ได้เห็นปลาวาฬสักตัวจะไม่กลับเข้าฝั่งกันทีเดียว ความอุดมสมบูรณ์ของสินในน้ำ มีปลาทะเลมากถึง 300 ชนิด แต่ละปีสามารถจับปลาเหล่านี้ได้ประมาณ 2 ล้านตัน
ประชากรนกบนเกาะมีประมาณเกือบ 300 - 400 สายพันธุ์ แต่ไม่มีชนิดใดเป็นที่รู้จักมากเท่ากับนก Puffin ที่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่รู้จักหรือไม่ก็เคยเห็นตามภาพยนตร์หรือหนังสือสารคดี เนื่องจากหน้าตาแปลกประหลาด ได้มีการคำนวณกันว่า บนเกาะแห่งนี้มีนก Puffin ประมาณหนึ่งล้านคู่ ความโชคดีบนเกาะไอซ์แลนด์เหมือนพระเจ้าบรรจงสร้างขึ้นมาอย่างประณีต พลังงานที่อยู่ใต้หินเปลือกโลก ( Tectonic Plates ) ขับเคลื่อนออกมาเป็นน้ำพุร้อนหรือกีเซอร์ ( Geysir ) ได้ช่วยให้เกาะอันน่าจะเย็นยะเยือกกลับอุ่นสบาย เพราะรัฐบาลของไอซ์แลนด์ได้แปลงความร้อนให้เป็นพลังงานไฟฟ้าไปใช้ตามบ้านพักอาศัย ที่เหลือก็ส่งขายต่างประเทศ | |
แถวๆ เมืองซวาร์ตเซนกิบนคาบสมุทรเรกยาเนส ( Reykjanes Peninsula ) ทางด้านเหนือของเกาะมีการนำพลังงานความร้อนที่อยู่ลึกลงไปถึง 2 กิโลเมตรและมีอุณหภูมิสูงถึง 240 องศาเซ็นติเกรดมาทำเป็นกระแสไฟฟ้า ส่วนน้ำร้อนที่เหลือใช้แต่มีแร่ธาตุมากมายได้ถูกเก็บกักไว้ใน Blue Lagoon เป็นสถานที่อาบน้ำแร่ขนาดใหญ่และมีชื่อเสียงที่สุดในโลก น้ำตกบนเกาะไอซ์แลนด์มีเป็นร้อยๆ สายไหลมาจากเทือกเขาสูง ราวกับเส้นริบบิ้นสีขาวหลายๆเส้น มีให้เห็นตลอดทางนับชั่วโมง ส่วนน้ำตกขนาดใหญ่ก็ใหญ่มากจนน่าตกใจ เช่น น้ำตกที่ซื่อ Skogafoss สูงถึง 60 เมตร ความที่เปลือกโลกส่วนนี้ยังมีอายุน้อย ทำให้การยุบตัวของพื้นดินมีให้เห็นอย่างชัดเจนอยู่หลายแห่ง จนเกิดแอ่งกระทะขนาดมหึมาอย่างเช่นที่ Asbyrgi Canyon ที่นี่ชาวไวกิ้งเชื่อว่าเป็นร้อยเกือกม้าของเทพเจ้าโอดีนขณะกำลังจะทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า ธรรมซาติบนเกาะไอซ์แลนด์ยังมีอีกมากมายจนเขียนไม่หมด เช่น พรม อันเกิดจากหญ้ามอสผืนใหญ่ที่สุดในโลก นับเป็นสถานที่ที่หาชมยากมาก |
|
|
สำหรับเรื่องอาหารการกินคนไทยที่ชอบรับประทานปลาเพื่อให้ร่างกายได้สารโอเมก้า 3 คงจะเจริญอาหารกับเมนูปลาสารพัดชนิด โดยเฉพาะปลาแช่เกลือของไอซ์แลนด์ ได้ชื่อว่ามีสูตรเฉพาะตัวตามวิธีของคนโบราณ การได้พักผ่อนอย่างเป็นสุขท่ามกลางความสดใหม่ของธรรมซาติมอบให้ สุดแต่ใครจะใขว่คว้าเอาไว้ได้มากน้อยแค่ไหน เพราะสิ่งดีๆ อันประมาณค่ามิได้บนเกาะไอซ์แลนด์มีให้อย่างเหลือเฟือ |
สถานทูตเดนมาร์ค 10 ซอยอรรถการประสิทธิ์ ถนนสาธรใต้ กรุงเทพฯ 10120 โทร. 0-2213 2021-5 แฟกซ์. 0-2213 1752 E-mail: bkkamb@bkkamb.um.dk |
สามารถขอวีซ่าท่องเที่ยวที่มีอายุไม่เกิน 14 วันผ่านทางสถานทูตเดนมาร์คได้ โดยมีเอกสารประกอบดังนี้
- จดหมายจากนายจ้างในประเทศไทยรับรองการจ้างงาน จดหมายเชิญจากคู่ธุรกิจในไอซ์แลนด์ในกรณีที่เดินทางไปด้วยจุดประสงค์ทางธุรกิจ
- รูปถ่ายปัจจุบัน 1 ใบ
- สำเนาหนังสือยืนยันยอดบัญชีจากธนาคารในช่วง 6 เดือนล่าสุด หรือสำเนาสมุดเงินฝาก
การพิจารณาและอนุมัติวีซ่าใช้เวลาประมาณ 1 สัปดาห์ ค่าธรรมเนียมวีซ่าประมาณ 1,000 บาท
|